วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก


เขื่อนขุนด่านปราการชล  ชื่อเดิมเรียกว่าเขื่อนคลองท่าด่านเป็นเขื่อนคอนกรีตอัดบดยาวที่สุดในประเทศไทยและในโลก ตั้งอยู่ที่ บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองจังหวัดนครนายก เป็นเขื่อนที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามเหมาะแก่การพักผ่อนชมวิว สร้างขึ้นตามแนว พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเก็บกักน้ำในช่วงหน้าฝนไว้ในหน้าแล้ง และควบคุมไม่ให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร ไร่นาและพื้นที่การเกษตรในหน้าฝน โดยสร้างครอบฝายท่าด่านเดิม  ตัวเขื่อนประกอบด้วยเขื่อนหลัก และเขื่อนรองสร้างด้วยคอนกรีต บดอัด ปัจจุบันเป็นเขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาว ที่สุดในโลก มีความยาวรวม 2,593 เมตร ความสูง ( สูงสุด ) 93 เมตร รับน้ำที่ไหล จากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านน้ำตกเหวนรกลงสู่อ่างเก็บน้ำมีความจุ 224 ล้าน ลบม.ประโยชน์มีน้ำในการทำเกษตรกรรม 

การอุปโภคบริโภค แก้ปัญหาดินเปรี้ยว เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และบรรเทาอุทกภัยเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของนครนายกโดยเปิด ให้นักท่องเที่ยว เดินทางมาชมวิวเหนือสันเขื่อน สามารถมองเห็นตัวเมืองนครนายกและอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้ที่สันเขื่อน นอกจากนี้ยัง สามารถเช่าเรือหางยาวเพื่อ ชมน้ำตกที่อยู่ลึกเข้าไปในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนได้  

เขื่อนขุนด่านปราการชล ตู้ ปณ. 4 ต.หินตั้ง อ.เมือง นครนายก 26000 โทรศัพท์ 0 3738 4208-9 โทรสาร 0 3738 4210 





ประวัติเขื่อนขุนด่านประการชล
ลุ่มแม่น้ำนครนายกเห็นลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่ มีพื้นที่รับน้ำประมาณ 2 , 430 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ตั้งอำเภอเมือง อำเภอบ้านนา อำเภอปากพลี ไปจนถึงอำเภอองครักษ์ ลุ่มน้ำนครนายกตอนบนมีต้นกำเนิดอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่จากบริเวณต้นน้ำจนถึง อ่างเก็บน้ำคลองท่าด่าน มีลักษณะเป็นหุบเขาแคบ ๆ และพื้นที่สูงชัน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าไม้ตอนกลาง ได้แก่ พื้นที่ส่วนขยายของ โครงการชลประทานท่าด่าน เป็นที่ราบมีผู้คน อาศัยอยู่หนาแน่นในบริเวณนี้ ระดับน้ำใต้ดินมีการลดระดับหรือพื้นที่ลาดเทค่อนข้างมาก ทำให้น้ำไหลบ่ารุนแรง ในช่วงฤดูฝนและตอนล่างได้แก่ บริเวณพื้นที่ชลประทานนครนายก เป็นพื้นที่ราบกว้างขวางมีระดับน้ำใต้ดินต่ำ จึงเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งส่วนในฤดูฝนกลับเกิดปัญหาน้ำท่วม เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ ราบที่มีความลาดเอียงน้อยทำให้น้ำ ระบายอกยากน้ำจึงท่วมขัง เป็นเวลานาน ลุ่มน้ำนครนายกได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึง เดือนตุลาคมทำให้เกิดฝนชุกโดยเฉลี่ประมาร 1 , 500 ถึง 2 ,000 มม. ต่อปีหรือร้อยละ 87 และระหว่าง เดือนมิถุนายนถึง เดือนตุลาคม ยังเป็นช่วงที่มีน้ำท่าสูงสุดถึงร้อยละ 93 ของปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยทั้งปีน้ำฝนที่ตกลงมาจะไหลเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร ไร่นา และพื้นที่ ทำการเกษตรโดยรอบ บางแห่งน้ำท่วมแช่อยู่นานจนไร่นาและพื้นที่ทำการเกษตรเสียหาย อ่างเก็บน้ำที่มีอยู่ก็ไม่สามารถเก็บกักน้ำ
ส่วนกินนี้ไว้ในฤดูแล้งได้ ดังนั้นช่วงปลายปีเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนพฤษภาคมอันเป็นช่วงฤดูแล้ง จึงมักเกิดการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง แม้ว่าบริเวณ ลุ่มแม่น้ำจะมีระบบชลประทานขนาดเล็กและขนาดกลางโดยมีฝาย เช่น ฝายท่าด่าน หรือเขื่อนทดน้ำตามลำน้ำเป็นระยะๆ เพื่อใช้ตัวลำน้ำเองเป็นพื้นที่ เก็บกักน้ำในช่วงฤดูฝน และยังใช้อ่างเก็บน้ำตามลำน้าสาขาทางต้นน้ำนครนายก ช่วยเก็บกักด้วยก็ยังพอที่จะ ช่วยป้องกันน้ำหลากในช่วงฤดูฝน และไม่เพียงพอที่จะเก็บกักน้ำไว้ใช้;ในฤดูแล้ง โดยเฉพาะบางทีที่ฝนทิ้งช่วง ลำน้ำนครนายกเองก็ไม่ สามารถเก็บกักน้ำไว้เพื่อชลประทานได้ ตรงกันข้าม เมื่อถึงช่วงฤดูฝน น้ำกลับไหลบ่าลงมาท่วมบ้านเรือน ไร่นา และพื้นที่การเกษตรของ ราษฎรทำให้เกิดการสูญเสียอย่างมาก พื้นที่บางส่วนจมอยู่ในน้ำ เป็นเวลานาน แต่พอถึงฤดูแล้งน้ำกลับแห้งผากจากสภาวะน้ำท่วมแช่อยู่เป็น เวลานานสลับกับความแล้งซ้ำซากทำให้ดินกลายสภาพเป็นกรดที่เรียกว่าว่า ดินเปรี้ยว ในแต่ละปีดินเปรี้ยวสร้างความสร้างความเสียหาย อย่างหนักให้กับผลผลิตทางการเกษตรในจังหวัดนครนายก

ด้วยเหตุผลดังกล่าว โครงการเขื่อนคลองท่าด่านฯ จึงเกิดขึ้นโดยมีความ;มุ่งมั่นที่จะขจัดปัญหา น้ำท่วม น้ำแล้ง และดินเปรี้ยว ด้วยการ พัฒนาแหล่งน้ำ และระบบชลประทานขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บกักน้ำและจัดสรรน้ำอย่างเป็นระบบ ให้พอเพียงกับความต้องการ ของกิจกรรมทุกประเภทภายในลุ่ม น้ำนครนายกและพื้นที่ใกล้เคียงดังนั้นเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2536 เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทาน พระราชดำริให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานพิจารณาวางโครงการและ ก่อสร้างเขื่อนคลองที่ด่านฯ และได้ดำเนินการก่อสร้างเมื่อ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2542 โดยจะใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี และเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2544 พระบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์ เขื่อนคลองท่าด่านฯ ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณและเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่พสกนิกรชาวจังหวัดนครนายก

นอกจากปัญหาหลักๆ ที่จะได้รับการแก้ไขจากการสร้างเขื่อนคลองท่าด่านฯ แล้ว ผลพลอยได้ ที่ตามมาก็คือประโยชน์ทางอ้อมซึ่งล้วนแต่จะ เป็นผลดี อย่างใหญ่หลวงแก่ชาวนครนายก เช่น ทัศนียภาพและสิ่งแวดล้อมบริเวณตัวเขื่อนและรอบอ่างเก็บน้ำจะได้รับการพัฒนากลายเป็น แหล่งท่องเที่ยวที่มี คุณค่าในเชิงสันทนาการและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อีกทั้งพื้นที่อ่างเก็บน้ำยังกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำนานา ชนิด รวมถึง เป็นแหล่งชุมชน ของนกนานาพันธุ์ ซึ่งนอกจากจะสร้างความสมบูรณ์ทางระบบ นิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพแล้วยัง ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้ท้องถิ่นอย่าง มหาศาล สมดังพระราชประสงค์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงหมายให้น้ำทิพย์นี้ นำความสุขสมบูรณ์มาสู่ราษฎรของพระองค์ อย่างยั่งยืนตลอดไป

เขื่อนคลองท่าด่านฯ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
• แหล่งน้ำและระบบชลประทานขนาดใหญ่ท่าสามารถเก็บกักน้ำและจัดสรรน้ำอย่างเป็นระบบสำหรับพื้นที่ทำการเกษตรรวมทั้ง แหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคของจังหวัด
• บรรเทาอุทกภัยแก่พื้นที่ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำนครนายก
• เกษตรกรได้รับประโยชน์จากโครงการประมาณ 5 , 400 ครัวเรือน
• ใช้น้ำชลประทานชะล้างดินเปรี้ยวจนเหมาะสมแก่การใช้เพาะปลูก
• เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและแหล่งประมงน้ำจืด
• เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แห่งใหม่
• เศรษฐกิจของจังหวัดนครนายกขยายตัว ราษฎรมีรายได้มากขึ้น 



http://www.chillpainai.com/scoop/7893/
http://travel.truelife.com/detail/33379

ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

เที่ยวเต็มอิ่ม ณ ดอยอินทนนท์

พอเริ่มปีใหม่เข้ามา หลายคนคงเตรียมตัววางแผนที่จะท่องเที่ยว เก็บข้าวเก็บของลงกระเป๋าแน่ ๆ และสถานที่น่าท่องเที่ยวตอนนี้เห็นจะเป็นทางภาคเหนือ เนื่องจากช่วงต้น ๆ ปีอย่างนี้ทางภาคเหนือยังคงอากาศหนาวเย็น บางที่อากาศก็กำลังเย็นสบายทีเดียว ชวนให้ไปสัมผัสซึมซับกับบรรยากาศสุด ๆ ...

ดอยอินทนนท์

          ถ้าจะพูดถึงสถานที่ที่นักเดินทาง ทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่น อยากจะไปสัมผัสให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ชื่อของ อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หรือ ดอยอินทนนท์ ก็น่าจะอยู่ในลิสต์อันดับต้น ๆ เพราะไม่ว่าจะรักการเที่ยวแบบชิลล์ ๆ หรือลุย ๆ สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตแห่งนี้ ก็พร้อมต้อนรับด้วยความงดงามของธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นความอุดมสมบูรณ์ของ ป่าใหญ่ดึกดำบรรพ์ (Old growth forest) สภาพอากาศที่หนาวเย็นและชุ่มฉ่ำตลอดทั้งปี ทำให้มีมอส เฟิร์นและพืชอิงอาศัย (epiphyte) ชนิดอื่น ๆ ขึ้นปกคลุมตามลำต้นอย่างหนาแน่น ใครที่เดินทางมาเที่ยวจะต้องประทับใจกับสีสันของใบไม้ป่าผลัดใบ ที่กำลังจะผลัดใบในช่วงปลายปี 
ดอยอินทนนท์

ดอยอินทนนท์

           ส่วนต้นปี ดอกไม้นานาชนิดก็บานสะพรั่งอดไม่ได้ที่จะกดชัตเตอร์ฝากภาพสวย ๆ ฝากเพื่อน หรือจะเลือกชมความโล่งของป่าทุ่งหญ้าหรือไร่ร้าง หน้าผาอันสูงชัน ทำให้มองเห็นสภาพภูมิประเทศได้กว้างไกล เป็นแหล่งที่อยู่ที่สำคัญของกวางผาและนกชนิดต่าง ๆ ก็สนุกไม่แพ้กัน

          อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ มีพื้นที่อยู่ในท้องที่อำเภอจอมทอง อำเภอแม่แจ่ม กิ่งอำเภอดอยหล่อ และอำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ สามารถเข้าถึงได้โดยใช้เส้นทาง เชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ไปยังอำเภอจอมทอง 50 กม. ระยะทางประมาณ 50 กม. เลี้ยวขวาตามถนนสาย จอมทอง-ดอยอินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) ประมาณ 8 กม. ก็จะเริ่มเข้าเขตอุทยานแห่งชาติที่บริเวณน้ำตกแม่กลาง และตัดขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์เป็นระยะทางทั้งหมด 49.8 กม. ที่ทำการอุทยานแห่งชาติจะตั้งอยู่ที่กิโลเมตรที่ 31

 

การเดินทาง

           จากตัวเมืองเชียงใหม่ สามารถ เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ได้ 3 เส้นทางคือ


          เส้นทางที่ 1 จากจังหวัดเชียงใหม่เดินทางโดยใช้เส้นทางถนนสายเชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ผ่านอำเภอ หางดงและอำเภอสันป่าตอง ไปยังอำเภอจอมทอง ก่อนถึงอำเภอจอมทองประมาณ 2 กิโลเมตร เลี้ยวขวาตามถนนสายจอมทอง- อินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) จะเริ่มเข้าเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ที่กิโลเมตรที่ 8 (น้ำตกแม่กลาง) และ ตัดขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์เป็นระยะทางทั้งหมด 49.8 กม. ... ดูแผนที่เส้นทางที่ 1 (สีเหลือง)  


           

           เส้นทางที่ 2 จากจังหวัดเชียงใหม่เดินทางตามเส้นทางถนนสานเชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ผ่านอำเภอหางดง อำเภอสันป่าตอง อำเภอจอมทองและอำเภอฮอด จากอำเภอฮอดเดินทางต่อโดยใช้เส้นทางสายฮอด-แม่สะเรียง ฮอด (ทางหลวง แผ่นดินหมายเลข 108) ผ่านอุทยานแห่งชาติออบหลวง แล้วเลี้ยวขวาต่อไปยังอำเภอแม่แจ่มโดยเส้นทางสาย ออบหลวง-แม่แจ่ม (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1088) จากอำเภอแม่แจ่มใช้เส้นทางสายแม่แจ่ม-ดอยอินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1192) ขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์ ที่ถนนสายจอมทอง-ดอยอินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009 กิโลเมตรที่ 38-39) ... ดูแผนที่เส้นทางที่ 2 (สีเขียว) 
            

            เส้นทางที่ 3 ซึ่งเป็นเส้นทางสู่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ที่ค่อนข้างจะลำบาก โดยทางจากจังหวัดเชียงใหม่ตามเส้นทางถนนสาย เชียงใหม่-ฮอด (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108) ผ่านอำเภอหางดง และอำเภอสันป่าตอง จากอำเภอสันป่าตอง เลี้ยวขวา ตามถนน สายสันป่าตอง - บ้านกาด-แม่วิน (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1013) แล้วต่อด้วยเส้นทาง ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1284 หรือ เส้นทาง ร.พ.ช. ผ่านบ้านขุนวาง และขึ้นสู่ถนนสายจอมทอง-ดอยอินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) ที่กิโลเมตรที่ 31 ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ ... ดูแผนที่เส้นทางที่ 3 (สีน้ำเงิน) 

          
           พื้นที่ท่องเที่ยวและนันทนาการที่สำคัญของอุทยานแห่งชาติ ส่วนใหญ่จะอยู่ตามแนวเส้นทางถนนสายจอมทอง – ยอดดอยอินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) ถนนสายยอดดอยอินทนนท์ – แม่แจ่ม (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1192) และเส้นทางเดินป่าต่าง ๆ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเลือกไปตามสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของอุทยานแห่งชาติตามเส้นทางต่าง ๆ ได้ดังนี้ค่ะ 

           ตามแนวเส้นทางถนนสายจอมทอง – ยอดดอยอินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009)

          ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ ดอยอินทนนท์ ใครมาแล้วไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวไหนก่อนดีขอให้แวะที่นี่เอาฤกษ์เอาชัยก่อน เพราะเขามีการฉายสไลด์มัลติวิชั่นของอุทยานและเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์คอยให้บริการกับนักท่องเที่ยว ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หรืออีกชื่อว่า กม.31 ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ไว้คอยบริการรับจองบ้านพักและสถานที่กางเต้นท์ สำหรับบ้านพักและที่กางเต้นท์จะอยู่อีกบริเวณหนึ่ง ทางเข้าอยู่ทางด้านขวามือก่อนถึงที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 200 เมตร 

           น้ำตกแม่ยะ น้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล ที่นี่เราสามารถกางเต้นท์พักแรมที่น้ำตกได้ แต่อย่าลืมติดต่อขอสถานที่กางเต้นท์กับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ด้วยล่ะ, น้ำตกแม่กลาง เป็นจุดแรกของประตูเข้าสู่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ น้ำตกจากหน้าผาสูงประมาณ 100 เมตร ไหลพวยพุ่งมาสู่โกรกเขา ซึ่งเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีชื่อว่า วังน้อยและวังหลวง ใครไปเที่ยวช่วงฤดูฝนระวังหน่อยเพราะน้ำไหลแรงและขุ่นข้นมากจ้ะ 
ดอยอินทนนท์

           ถ้ำบริจินดา ถ้ำขนาดใหญ่ อยู่ในเทือกเขาดอยอินทนนท์ ใกล้น้ำตกแม่กลาง ภายในถ้ำมีความลึกหลายกิโลเมตร เพดานมีหินงอกหินย้อยหรือที่ชาวเหนือเรียกว่า "นมผา" และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ภายใน เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้นมัสการ นอกจากนั้น ยังมีธารหิน เมื่อมีแสงสว่างมากระทบจะเกิดประกายระยิบระยับดังกากเพชรงามยิ่งนัก ลักษณะของถ้ำเป็นถ้ำทะลุแสงสว่างลอดเข้ามาได้ สามารถมองเห็นภายในได้ถนัด ก่อนจะถึงปากถ้ำจะมีป้ายขนาดใหญ่ตั้งอยู่, น้ำตกวชิรธาร เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ ตัวน้ำตกอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 750 เมตร ตรงข้ามมีหน้าผาสูงชัน เรียกว่า "ผาม่อนแก้ว" หรือในภายหลังเรียกว่า "ผาแว่นแก้ว"
           น้ำตกสิริธาร  นอกจากความสวยงามของน้ำตกแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำหลายชนิดรวมทั้งปลาหายาก เช่นปลาค้างคาว ป่าบริเวณนี้เป็นป่าเต็งรังผสมสนเขาและป่าดิบแล้ง นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งสมุนไพรที่สำคัญอีกด้วย, น้ำตกสิริภูมิและสวนหลวงสิริภูมิ  เดิมเรียกว่า "เลาลึ" ตามชื่อของหมู่บ้านม้ง ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ ๆ น้ำตก ภายหลังเปลี่ยนชื่อตามพระนามาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ปัจจุบัน มีการจัดภูมิทัศน์ สวนหลวงสิริภูมิ อยู่ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงอินทนนท์ มีการจัดเก็บค่าเข้าชม ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็ก คนละ 10 บาท
           น้ำตกแม่ปาน จากธรรมชาติที่ลึกของป่าใหญ่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ จะเห็นสายน้ำที่ไหลผ่านภูผาถึง 4 ชั้น ล้อมรอบด้วยป่าเขียวขจีตัวน้ำตกมีความสูงมากกว่า 100 เมตร สามารถมองเห็นได้จากจุดชมวิวระยะไกล จากบริเวณที่ตั้งหน่วยพิทักษ์ฯ อุทยานแห่งชาติ (น้ำตกแม่ปาน) หรือเดินเท้าไปตามเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติผาสำราญ (น้ำตกแม่ปาน-ห้วยทรายเหลือง) ระยะทางประมาณ 400 เมตร
ดอยอินทนนท์

           พระธาตุนภเมทนีดลและพระธาตุนภพลภูมิสิริ เป็นพระธาตุที่ทางกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมใจสร้างถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา เมื่อปีพุทธศักราช 2530 และเทิดพระเกียรติแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535 โดยรอบบริเวณพระมหาธาตุเจดีย์ทั้ง 2 องค์ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์โดยรอบได้อย่างชัดเจน พระมหาธาตุทั้ง 2 องค์นี้ มีรูปทรงคล้ายคลึงกัน คือ มีฐานเป็นรูป 12 เหลี่ยม มีระเบียงแก้วโดยรอบเป็น 2 ระดับ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปบูชา
ดอยอินทนนท์

ดอยอินทนนท์

ดอยอินทนนท์

          เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติกิ่วแม่ปาน เป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติระยะสั้น เป็นวงรอบระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร สามารถวนรอบไปกลับในวันเดียว ตามหนทางจะผ่านไปสู่ป่าดงดิบริมธารน้ำ ขึ้นเนินผ่านป่าที่ห้อยระย้าด้วยมอส ฝอยลม หน้าฝนจะถูกปกคลุมด้วยหมอกขาวและอากาศที่หนาวเย็น สุดปลายทางมีทุ่งดอกไม้นานาชนิด เรียกว่าหายเหนื่อยกันเลยทีเดียว

          ยอดดอยอินทนนท์  ชมป่าดิบดึกดำบรรพ์ ซึ่งน้อยคนนักจะได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงของภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศ ที่นี่มีทั้งกล้วยไม้และพันธุ์ไม้ป่าที่สวยงามและหายาก นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานกู่พระอัฐิของพระเจ้าอินทวิชานนท์ ผู้ครองเชียงใหม่องค์ที่ 7 และเป็นที่ตั้งของสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศไทย จะมาฤดูไหนอุณหภูมิก็พร้อมเที่ยวเสมอที่ราว 5 – 18 องศาเซลเซียส

            ตามแนวเส้นทางถนนสายยอดดอยอินทนนท์ – แม่แจ่ม (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1192)
          
            เส้นทางนี้เราก็จะได้เที่ยว ป่าดงดิบเขาดึกดำบรรพ์ (Old-growth forest) บริเวณทางแยกอำเภอแม่แจ่ม ผ่านน้ำตกแม่ปาน และแวะชมน้ำตกห้วยทรายเหลือง สะดวกเที่ยวเส้นไหนตะลุยไปเส้นนั้น หรือถ้ามีเวลาเยอะก็ลุยทั้ง 2 เส้นทางไปเลยก็ได้นะจ๊ะ 
 

สถานที่น่าสนใจอื่น ๆ

            โครงการเพาะพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์  โครงการนี้เกิดขึ้นจากพระราชดำริของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ พระบรมราชินีนาถ ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของกล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์ ที่กำลังจะหมดไปจากป่าธรรมชาติ สภาพแวดล้อมเป็นสวนหินที่สวยงาม และทางโครงการฯ ได้จัดทำสวนกล้วยไม้ และสวนดอกไม้เมืองเหนือไว้อย่างสวยงาม
ดอยอินทนนท์
             โครงการหลวงอินทนนท์ ถูกตั้งเพื่อส่งเสริมให้ชาวเขาเปลี่ยนอาชีพ จากการปลูกฝิ่นมาเป็นเกษตรกรรม ภายในโครงการหลวงนั้นมีพรรณไม้ให้ชมหลากหลาย เช่น สวนเฟิน สวนกระบองเพชร และไม้ดอกไม้ประดับเมืองเหนือ อีกทั้งยังมีร้านอาหารไว้ให้บริการอีกด้วย
ดอยอินทนนท์

            จุดชมทิวทัศน์ กม. 41 จุดชมทิวทัศน์อยู่ตรงกิโลเมตรที่ 41 ของถนนสายจอมทอง-ยอดดอยอินทนนท์ สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันกว้างไกลของขุนเขาสลับซับซ้อน โดยเฉพาะยามเช้าจะมีทะเลหมอกปกคลุมเหนือหุบเขาน่าชมมาก จากจุดชมทิวทัศน์สามารถมองเห็นพระมหาธาตุนภเมทนีดล และพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริสูงเด่นอยู่คู่กัน
ค่าธรรมเนียมการเข้าอุทยานแห่งชาติ

            ผู้ใหญ่ คนละ 20 บาท 
            เด็ก คนละ 10 บาท 
            กรณีเป็นเด็กอายุต้องต่ำกว่า 14 ปี แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 3 ปี จะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม 
            กรณีเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ให้เก็บค่าธรรมเนียมในอัตราสำหรับเด็ก 

             รถจักรยาน 10 บาท/คัน 
             รถจักรยานยนต์ 20 บาท/คัน 
             รถยนต์ 4 ล้อ 30 บาท/คัน 
             รถยนต์ 6 ล้อ 100 บาท/คัน 
             รถยนต์ไม่เกิน 10 ล้อ 200 บาท/คัน 

ดอยอินทนนท์

ฤดูกาลท่องเที่ยว

            สำหรับใครที่คิดว่าอยากสัมผัสอากาศหนาวต้องเดินทางช่วงปลายปีเท่านั้น สำหรับดอยอินทนนท์แล้วสามารถเดินทางไปเที่ยวได้ตลอดทั้งปี

          ไม่ว่าจะเป็นช่วงฤดูร้อน เดือน มีนาคม – พฤษภาคม แม้อากาศจะร้อนอบอ้าว แต่บนดอยยังมีอากาศสดชื่นเย็นสบาย ท้องฟ้าสดใส ฤดูฝนเดือน มิถุนายน – กันยายน  ฝนตกชุกเพิ่มความชุ่มชื้นให้ป่า ชมสายหมอกและละอองฝน ที่เพิ่มความสวยงามผสมกลมกลืนกันอย่างน่าอัศจรรย์

          ฤดูหนาวเดือน ตุลาคม – กุมภาพันธ์ อากาศค่อนข้างหนาวและฝนเริ่มลดน้อยลงและอากาศเย็นลงบ้าง และมีอากาศหนาวจัดที่สุดในช่วงเดือนมกราคม เป็นฤดูกาลที่นักท่องเที่ยวนิยมเที่ยวมากที่สุด เพราะสภาพภูมิอากาศหนาวเย็นท้องฟ้าแจ่มใส ตัดกับสีเขียวของป่าไม้ อากาศจะเย็นมากในตอนกลางคืน อุณหภูมิจะลดต่ำกว่า 0 - 4 องศาเซลเซียส ซึ่งช่วงนี้แหละที่เราจะได้เห็นน้ำคางแข็งหรือแม่คะนิ้งกันล่ะ


แหล่งอ้างอิง

ทะเลบัวแดง อุดรธานี

ทะเลบัวแดง อุดรธานี 2559 บานชูช่อสะพรั่งรับฤดูหนาว




          ทะเลบัวแดง อุดรธานี ชื่นชมความสวยงามของดอกบัวที่บานชูช่อต้อนรับลมหนาวช่วงปลายปี และรอให้นักท่องเที่ยวได้เชยชมความงดงามให้สมใจอยาก
          ใกล้ช่วงเวลาสิ้นปี นอกจากจะเป็นช่วงที่เราจะได้สัมผัสลมหนาวแล้ว ยังเป็นช่วงที่ดอกไม้นานาชนิดต่างพากันบานอวดโฉม เพื่อให้นักท่องเที่ยวอย่างเราตามไปเก็บภาพความสวยงามกัน เช่นเดียวกับ "ทะเลบัวแดง จังหวัดอุดรธานี" ซึ่งตอนนี้นับได้ว่าเป็นช่วงนาทีทอง เพราะดอกบัวกำลังออกดอกบานชูช่อรับลมหนาวกันแล้ว แต่จะสวยงามมากแค่ไหน วันนี้เราจะขออาสาพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวที่ทะเลบัวแดงแห่งนี้กัน ว่าแล้วก็ตามเรามาดูด้วยกันเลย
ภาพจาก เฟซบุ๊ก TatUdon
  
ภาพจาก เฟซบุ๊ก TatUdon

          ทะเลบัวแดง ตั้งอยู่ในอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี ภายในบริเวณบึงน้ำจืด บึงหนองหาน ซึ่งเป็นแหล่งน้ำธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นประจำทุกปีในช่วงหน้าหนาว ดอกบัวที่นี่จะเริ่มออกดอกบานชูช่อเต็มท้องน้ำ เป็นภาพความงดงามที่สุดจะหาอะไรมาเปรียบ โดยดอกบัวจะออกดอกปริมาณมากที่สุดในช่วงเดือนธันวาคม-กุมภาพันธ์ กว้างใหญ่สุดสายตา ซึ่งในปี 2559 จะมีการเปิดเทศกาลชมทะเลบัวแดงในวันที่ 9 ธันวาคม 2559

ภาพจาก เฟซบุ๊ก TatUdon

ภาพจาก เฟซบุ๊ก TatUdon

          โดยนักท่องเที่ยวสามารถชมความสวยงามของทุ่งดอกบัวแดงด้วยการล่องเรือท้องแบน แน่นอนว่าคุณจะได้สัมผัสกับธรรมชาติที่สวยงาม รวมถึงยังเพลิดเพลินไปกับการดูนกนานาชนิด ที่ต่างบินโฉบไปมาเหนือท้องน้ำ สำหรับใครก็ตามที่อยากชมความสวยงามของทุ่งทะเลบัวแดงแบบเต็ม ๆ เราแนะนำให้มาชมแต่เช้าสักประมาณ 06.00-09.00 น. เพราะช่วงเวลานี้จะเป็นช่วงที่ดอกบัวกำลังบานสวยที่สุด

ภาพจาก เฟซบุ๊ก TatUdon

          การล่องเรือชมดอกบัวแดงจะมีเรือคอยให้บริการนักท่องเที่ยวตลอดทั้งวัน ในราคา 500 บาท และ 300 บาท (โดยราคาที่แตกต่างกันนี้ ขึ้นอยู่กับระยะทางและระยะเวลาในการล่องเรือ แบ่งเป็นรอบเล็กและรอบใหญ่) แต่ละลำนั่งได้ทั้งหมด 8 คนโดยประมาณ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะมีบัตรคิวให้นักท่องเที่ยวไว้เรียบร้อย หน้าหนาวที่ใกล้กำลังมาถึงนี้ ใครที่กำลังมองหาที่เที่ยวอยู่ละก็ ต้องไม่พลาดชมความสวยงามของทะเลบัวแดงกันนะคับ




          ทั้งนี้สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานอุดรธานี โทร. 042 325 406-7 หรือ เฟซบุ๊ก TatUdon

          หมายเหตุ : ข้อมูลอาจมีการเปลี่ยนแปลงกรุณาตรวจสอบอีกครั้ง ข้อมูล ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2559

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
เฟซบุ๊ก TatUdon.
http://www.paiduaykan.com/province/Northeast/udonthani/buadaeng.html
http://www.amazingthaitour.com/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%99/%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%98%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B5/

เขื่อนรัชชประภา

เขื่อนรัชชประภา เที่ยวง่าย ๆ ไปเองก็ได้ ไม่ยากอย่างที่คิด

เที่ยวเขื่อนรัชชประภา

          เขื่อนรัชชประภา เรื่องราวดี ๆ ที่น่ารู้ก่อนไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภาหรือเขื่อนเชี่ยวหลาน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อการเตรียมตัวที่พร้อมและสนุกมากยิ่งขึ้น ใครวางแผนจะไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภาไม่ควรพลาด
          เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน ตั้งอยู่ติดต่อกับอุทยานแห่งชาติเขาสก จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่นี่กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ด้วยเต็มไปด้วยธรรมชาติของป่าเขาและสายน้ำที่งดงาม เป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่ดีมาก ๆ สำหรับคนที่ชอบความเงียบสงบ แต่หลายคนก็อาจจะยังเริ่มไม่ถูกว่าถ้าจะไปเที่ยวที่นี่ควรเริ่มต้นอย่างไร วันนี้เรามีข้อน่ารู้และเกร็ดท่องเที่ยวเขื่อนรัชชประภาเล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากกันค่ะ
เที่ยวเขื่อนรัชชประภา
          1. เขื่อนรัชชประภา มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าเขื่อนเชี่ยวหลาน ซึ่งมีพื้นที่เชื่อมต่อกับอุทยานแห่งชาติเขาสก

          2. ที่ชาวบ้านเรียกที่นี่กันว่าเขาสก เพราะพื้นที่ส่วนหนึ่งบริเวณอ่างเก็บน้ำและแหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาสก

          3. ด้วยความที่บริเวณอ่างเก็บน้ำในเขื่อนรัชชประภามีภูเขาหินปูนรูปร่างสวยงามแปลกตาตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นมากมาย นักท่องเที่ยวจึงขนานนามว่าที่นี่คือกุ้ยหลินเมืองไทย

เที่ยวเขื่อนรัชชประภา

          4. นอกจากนี้แล้วเสน่ห์ของเขื่อนรัชชประภา ยังอยู่ที่ธรรมชาติของป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ บรรยากาศเงียบสงบ อากาศเย็นสบายสดชื่นมาก อีกทั้งน้ำในเขื่อนยังสวยใส มีสีเขียวมรกต มองเห็นปลาต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน

เที่ยวเขื่อนรัชชประภา

          5. การไปเที่ยวเขื่อนเชี่ยวหลาน ถ้าจะไปเที่ยวชมวิวสวย ๆ โดยไม่นอนค้างบนแพกลางน้ำก็ได้ค่ะ ก็จะมีจุดชมวิวอยู่บริเวณสันเขื่อน หรือบริเวณที่ทำการของเขื่อน หากใครอยากนั่งเรือชมวิวก็มีบริการเรือนำเที่ยวด้วยเช่นกัน

          6. หากต้องการไปพักแพบ้านพักในเขื่อนรัชชประภา ที่พักส่วนใหญ่จะจัดเป็นแพ็กเกจให้กับลูกค้า เช่น 2 วัน 1 คืน รวมอาหาร 2 มื้อ, 3 วัน 1 คืน รวมอาหาร 5 มื้อ ฯลฯ บางที่พักก็มีแบบแยกจอง ใครอยากจองแต่ห้องพักก็ได้ ไม่รวมอาหาร สามารถสอบถามได้โดยตรงจากแพที่จะเข้าพักได้เลย

เที่ยวเขื่อนรัชชประภา

          7. แพที่พักแต่ละแห่งจะต้องนั่งเรือออกไป เพราะฉะนั้นก่อนจองที่พักถามทางรีสอร์ทให้แน่ใจ ว่าราคาที่จ่ายไปนั้นได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง รวมค่าเรือด้วยไหม

          8. แนะนำว่าถ้าใครไปช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาว ให้จองเรือไว้ดีกว่าแต่ถ้าไปวันธรรมดาก็จะมีเรือไว้บริการพอเพียง ไม่ต้องจองไว้ก็ได้

เที่ยวเขื่อนรัชชประภา

          9. เรือหางยาวที่ให้บริการในเขื่อนรัชชประภา ส่วนใหญ่เป็นแบบเช่าเหมาลำ นั่งได้ประมาณ 8-10 คน ราคาอยู่ที่ประมาณ 3,000 บาท (ขึ้นอยู่กับว่าแพที่พักไกลมากน้อยแค่ไหน) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากแพที่จะเข้าพัก หรือรุ่งโรจน์บริการเรือนำเที่ยวเขื่อนรัชชประภา โทรศัพท์ 08 7882 5011, 08 7269 1466

          10. นอกจากการจองแพ็กเกจกับที่พักแล้ว ก็ยังมีบริษัททัวร์หลายแห่งในจังหวัดสุราษฎร์ธานีให้บริการพาเที่ยวเขื่อนรัชชประภาด้วย ทั้งนี้อยากให้ลองหาข้อมูลให้เยอะ ๆ ก่อนที่จะตกลงซื้อทัวร์ เพราะบางทีการไปเที่ยวเองก็มีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่า

เที่ยวเขื่อนรัชชประภา

          11. บริเวณแพที่พักบางแห่ง อาจจะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ เพราะฉะนั้นก่อนไปเที่ยวต้องเตรียมใจไว้ระดับหนึ่งว่าต้องตัดขาดโลกภายนอกสักวันสองวัน

          12. ถ้าอยากไปเที่ยวนอนพักบนแพกลางน้ำในเขื่อนรัชชประภาแต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร แนะนำขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

          ขั้นตอนที่ 1  >> เลือกที่พักที่อยากจะไปพัก แล้วสอบถามรายละเอียดว่าให้เข้าพักแบบแพ็กเกจได้อย่างเดียว หรือแบบจองห้องพักอย่างเดียวก็ได้ เพื่อที่จะได้วางแผนต่อไป (ดูที่พักเพิ่มเติมได้ที่ จัดเต็ม 20 ที่พักเขาสก นอนสบายสไตล์คนรักธรรมชาติ)

          ขั้นตอนที่ 2 >> ลองหาทัวร์ที่ขายแพ็กเกจที่พักเดียวกับที่เราจะไปพัก แล้วลองเปรียบเทียบราคากับแพ็กเกจของทางแพที่พัก ดูให้ละเอียดว่ารวมค่าเรือหางยาวและอาหารหรือยัง มีการพาไปเที่ยวยังจุดต่าง ๆ ภายในอุทยานแห่งชาติเขาสกและเขื่อนรัชชประภาหรือไม่

          ขั้นตอนที่ 3 >> ถ้าต้องจองเรือหางยาวไปแพที่พักเอง สามารถจองเรือได้ล่วงหน้าที่รุ่งโรจน์บริการเรือนำเที่ยวเขื่อนรัชชประภา โทรศัพท์ 08 7882 5011, 08 7269 1466 หรือถ้าไปวันธรรมดาไม่ต้องจองก็ได้ค่ะ มีเรือไว้รองรับเพียงพอ

          ขั้นตอนที่ 4 >> เมื่อจัดการกับเรื่องเรือและที่พักเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ก็มาจัดการเรื่องการเดินทางไปยังเขื่อนรัชชประภาได้เลย

เที่ยวเขื่อนรัชชประภา

          13. การเดินทางไปยังเขื่อนรัชชประภา จากตัวเมืองสุราษฎร์ธานี นักท่องเที่ยวสามารถที่จะเดินทางไปได้หลายวิธี ดังนี้

          - ถ้ามาโดยรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ขับผ่านจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดชุมพร จนเข้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขับมาตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 41 จนถึงแยกอำเภอพุนพิน ให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลย 401 ขับไปเรื่อย ๆ จะมีป้ายบอกทางไปเขื่อนรัชชประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน)

          - ถ้ามาจากสนามบินสุราษฎร์ธานี นักท่องเที่ยวสามารถเช่าแท็กซี่มาได้เลย หรือนั่ง Airport Bus เข้าไปที่ตัวเมืองสุราษฎฎร์ธานี จากนั้นให้ต่อรถตู้บริเวณตลาดเกษตร 2 ไปที่เขื่อนรัชชประภา

          - ถ้ามาโดยรถไฟ ให้ลงที่สถานีรถไฟสุราษฎร์ธานี แล้วต่อรถบัสที่ให้บริการเส้นทางสุราษฎร์ธานี-ภูเก็ต เพื่อไปลงที่ปากทางเข้าเขื่อนรัชชประภา

เที่ยวเขื่อนรัชชประภา

          14. การไปนอนพักบนแพในเขื่อนรัชชประภา แพที่พักบางแห่งจะมีเวลากำหนดในการใช้ไฟฟ้า เพราะฉะนั้นควรเตรียมไฟฉายไปด้วย เผื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน และควรเตรียมยาประจำตัวและของใช้ส่วนตัวที่จำเป็นไปด้วย ใครที่แพ้ยุงก็อย่าลืมยาทากันยุงด้วยนะคะ

          15. ช่วงเวลาที่น่าไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภา อันที่จริงแล้วที่นี่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ขึ้นอยู่กับว่าใครชอบบรรยากาศแบบไหน ในช่วงหน้าร้อนอากาศอาจจะร้อนสักนิด แต่ท้องฟ้าสดใส ถ่ายรูปสวย ส่วนช่วงหน้าฝนจะอากาศสดชื่นเย็นสบาย ภูเขาและธรรมชาติจะมีสีเขียวขจี บางวันยังจะได้เห็นหมอก อีกทั้งยังเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นอีกด้วย แต่ถ้าใครชอบอากาศเย็น ๆ หนาว ๆ ต้องไปช่วงปลายปี แต่ช่วงนี้ก็จะมีนักท่องเที่ยวเยอะด้วยเช่นกัน

          16. หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่อุทยานแห่งชาติเขาสก โทรศัพท์ 0 7739 5139, 0 7739 5154-5 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานสุราษฎร์ธานี โทรศัพท์ 0 7728 8818-9




          หวังว่าข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ให้กับนักท่องเที่ยวที่อยากจะไปสัมผัสเขื่อนรัชชประภาไม่มากก็น้อยนะคะ วันหยุดว่าง ๆ ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหน ลองไปเที่ยวที่นี่กันค่ะ รับรองว่าจะประทับใจแน่นอน :)

         
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
rpb.egat.compark.dnp.go.thททท. 

ทุ่งโปรงทอง ระยอง

ทุ่งโปรงทอง ระยอง แหล่งท่องเที่ยวอันซีนริมปากน้ำประแส

   ทุ่งโปรงทอง ปากน้ำประแส ที่เที่ยวระยอง ที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว เป็นแหล่งท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจที่ทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับธรรมชาติอย่างแท้จริง อยากไปเที่ยวทุ่งโปรงทองควรรู้อะไรบ้าง มาทำความรู้จักทุ่งโปรงทองได้เลยที่นี่


          นอกจากจังหวัดระยองจะมีท้องทะเลสวย ๆ ให้เราได้ไปเที่ยวชมกันแล้ว ที่นี่ก็ยังแอบซ่อนความสวยงามของธรรมชาติไว้อีกเพียบ หนึ่งในนั้นก็คือ “ทุ่งโปรงทอง” ซึ่งเป็นบริเวณป่าชายเลนริมทะเลประแส ที่มีการปลูกต้นโปรงไว้เป็นจำนวนมาก มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา สวยงามมาก ๆ วันนี้เราจึงจะพาไปทำความรู้จักกับทุ่งโปรงทองให้มากขึ้น ใครวางแผนจะไปเที่ยวที่นี่ มาตามเก็บข้อมูลกันได้เลย
เที่ยวทุ่งโปรงทอง
          อะไรคือทุ่งโปร่งทอง

          ทุ่งโปรงทอง คือบริเวณป่าชายเลนริมปากแม่น้ำประแส ซึ่งบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยต้นโปรงที่ขึ้นเรียงรายกันนับพันนับหมื่นต้น มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตา โดยเฉพาะยามเช้าตรู่และยามเย็นที่มีแสงพระอาทิตย์อ่อน ๆ ฉาบทาลงมาที่ทุ่งแห่งนี้ สะท้อนใบของต้นโปรงให้กลายเป็นสีเหลืองทองอย่างสวยงาม ที่นี่จึงได้ชื่อเรียกว่าทุ่งโปรงทอง โดยจะมีทางเดินไม้ระยะทางประมาณ 2.6 กิโลเมตร ลัดเลาะไปตามทุ่งโปรงทอง ให้นักท่องเที่ยวได้เดินถ่ายภาพกับทุ่งแห่งนี้กันอย่างใกล้ชิด โดยเส้นทางจะไปสิ้นสุดบริเวณอนุสรณ์เรือรบหลวงประแส

เที่ยวทุ่งโปรงทอง

          ทุ่งโปรงทองอยู่ที่ไหน

          ทุ่งโปรงทอง ตั้งอยู่บริเวณริมปากแม่น้ำประแส ใกล้กับเทศบาลตำบลปากน้ำกระแส อำเภอแกลง จังหวัดระยอง มีบริการร้านอาหารและเครื่องดื่มอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

เที่ยวทุ่งโปรงทอง
ภาพจาก Ford Contributor / Stutterstock.com

เที่ยวทุ่งโปรงทอง

เที่ยวทุ่งโปรงทอง

          สิ่งที่น่าสนใจในทุ่งโปรงทอง

          - ป่าชายเลนอันอุดมสมบูรณ์ ก่อนที่จะเดินไปถึงทุ่งโปรงทอง บริเวณทางเข้าตรงจุดเริ่มต้นจะเป็นป่าชายเลนที่มีความอุดมสมบูรณ์ บรรยากาศร่มรื่น

เที่ยวทุ่งโปรงทอง

          - ป่าโกงกาง จะเป็นพื้นที่ที่เชื่อมต่อมาจากป่าชายเลน ช่วงนี้ต้นโกงกางซึ่งมีความสูงพอสมควรจะปกคลุมทางเดินให้ร่มรื่น คล้ายกับเป็นอุโมงค์ต้นโกงกาง ก็จะร่มรื่น ไม่ร้อน

          - ทุ่งโปรงทอง เป็นไฮไลท์สำคัญ โดยจะมีจุดชมวิวให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปในมุมกว้าง และยังมีทางเดินที่ทอดผ่านบริเวณป่าทุ่งโปรง ทำให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกับทุ่งสีทองนี้อย่างใกล้ชิด และยังมีทางเดินทอดยาวไปยังริมทะเลประแส ซึ่งมีศาลาชมวิวให้ได้ไปนั่งชมวิวทะเลชิล ๆ กันอีกด้วย

          โน้ตกันไว้สักนิดค่ะ ว่าบริเวณเส้นทางศึกษาธรรมชาติทุ่งโปรงทองไม่อนุญาตให้นำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไป เพราะฉะนั้นควรทานให้เรียบร้อยก่อนที่จะเดินเข้าไปเที่ยวชม

เที่ยวทุ่งโปรงทอง

          เวลาเปิด-ปิด และค่าเข้าชมทุ่งโปรงทอง

          ทุ่งโปรงทอง สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. ค่าเข้าชมฟรี ! ทั้งนี้อาจจะมีค่าบริการฝากรถประมาณ 25 บาท

เที่ยวทุ่งโปรงทอง

          เที่ยวทุ่งโปร่งทอง 1 วัน

          ทุ่งโปรงทองตั้งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก จึงสามารถไปเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับได้ ซึ่งนอกจากจะได้ไปเที่ยวชมความสวยงามของทุ่งโปรงทองนี้แล้ว ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียงให้ได้ไปเยือนกันอีกด้วย อาทิ อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส, ศาลเจ้าพ่อประแส, หาดแม่รำพึง, อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด และตลาดน้ำเกาะกลอย เป็นต้น

เที่ยวทุ่งโปรงทอง

          การเดินทางมายังทุ่งโปรงทอง

          - การเดินทางมาโดยรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ ขับรถมุ่งหน้ามายังเมืองระยอง จากตัวเมืองระยองขับต่อไปยังอำเภอแกลง ใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3 ขับมาเรื่อย ๆ จนถึงแยกตรงเทศบาลทุ่งควายกิน (แยกประแส) ให้เลี้ยวขวาเพื่อเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3162 ตรงไปเรื่อย ๆ จนถึงวัดตะเคียนงาม จะมีซอยเล็ก ๆ มีป้ายบอกทางไปทุ่งโปรงทอง

          - สำหรับใครที่อยากมาเที่ยว แต่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว จากกรุงเทพฯ สามารถนั่งรถตู้จากหมอชิตใหม่หรือสถานีขนส่งเอกมัย เส้นทางกรุงเทพฯ-จันทบุรี ไปลงได้ที่สี่แยกประแส แล้วต่อมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้าไปที่ทุ่งโปรงทอง ส่วนในตอนขากลับนั้น ถ้านักท่องเที่ยวเดินไปจนถึงจุดสิ้นสุดที่อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส ก็จะมีรถพ่วงคอยให้บริการมาส่งที่สี่แยกประแส ราคาประมาณ 200 บาท นั่งได้ประมาณ 3-4 คน ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร

          ทั้งนี้ก่อนการเดินทางควรตรวจสอบข้อมูลเส้นทางของรถตู้ที่ให้บริการอีกครั้ง และในส่วนของมอเตอร์ไซค์รับจ้างก็อาจจะมีไม่เพียงพอสำหรับนักท่องเที่ยว อาจจะต้องรอนานสักนิดในช่วงวันหยุด

  

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ททท.traveleastthailand.org70waysofking.tourismthailand.orgบ้านสุดสาคร โฮมสเตย์ ปากน้ำประแสร์banchanachon.comบ้านก๋งจื้อ โฮมสเตย์ ปากน้ำประแสร์